วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

10 เรื่องต้องจัดการ เมื่อตกงาน

ต้องยอมรับว่า"ตัวเลขคนตกงาน"และกระแสเลย์ออฟมนุษย์เงินเดือน ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกในเวลานี้ หากเป็น1ในความโชคร้าย มีอะไรบ้างที่ต้องการจัดการ

ไม่เพียงตั้งรับพายุร้ายด้วยความสงบ หากแต่คุณยังต้องเค้นสติให้กลับมาโดยไว ถ้าต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่"ตกงาน" อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะหลังจากตกงาน ยังมีหลากเรื่องราวและหลายธุรกรรมการเงินให้คุณต้องลงมือจัดการ

ฉะนั้น อย่ามัวนั่งจิตตก จมอยู่กับความเศร้า หรือฟูมฟายกับความโชคร้ายของตัวเอง ลองมาดูกันว่า 10 อย่างที่คุณต้องจัดการหลังจากตกงานมีอะไรบ้าง

1.จัดการเรื่องประกันสังคม

"เสกสรร โตวิวัฒน์" ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาด บลจ.บัวหลวง แนะว่าเมื่อว่างงาน 2 สิ่งที่คุณต้องดำเนินการเกี่ยวกับประกันสังคม คือ เรื่องเงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน และ การเลือกว่าจะรักษาสิทธิความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่อไปหรือไม่

1) สำหรับลูกจ้างที่มีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน จะมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ สำหรับผู้ถูกเลิกจ้าง จะได้รับประโยชน์ทดแทนในอัตรา 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน สำหรับผู้ลาออกจากงาน ได้รับในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี โดยผู้ประกันตนจะต้องไปขึ้นทะเบียนหางานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ว่างงาน

2) ลูกจ้างที่ออกจากงานจะยังคงได้รับความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่อไปอีก 6 เดือน นับจากวันที่ลาออกจากงาน โดยจะได้รับความคุ้มครองต่อ 4 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ตามเงื่อนไข ในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี และถ้าผู้ประกันตนประสงค์ที่จะอยู่ในระบบประกันสังคมต่อ ก็สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้ตามเงื่อนไข คือ เคยนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และจะต้องสมัครภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ลาออกจากงานและจะต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราเดือนละ 432 บาท ได้รับความคุ้มครองทั้งหมด 6 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตรและชราภาพ

"อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง" ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย แนะคนที่สะสมเงินเข้าประกันสังคม ต้องอย่าลืมว่าคุณมีสิทธิที่จะได้รับเงินชดเชยกรณีว่างงาน

"แต่การเลิกจ้างนี้ ต้องไม่ได้เกิดจากทุจริตหรือก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หลายคนดีใจมาก นึกว่า เงินเดือนแสน ได้ถึงเงินชดเชยเดือนละ 50,000 บาท ที่จริงแล้วไม่ใช่ ก็ต้องบอกว่า ในส่วนอัตราค่าจ้าง จะคิดอัตราสูงสุดลิมิตอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราเดียวกันกับอัตราที่ใช้คำนวณเงินที่คุณส่งเงิน

สมทบในแต่ละเดือน แนะว่าให้ไปทำการยื่นเรื่องขอเบิกเงินค่าชดเชยที่ประกันสังคม เพื่อใช้เป็นต้นทุนที่ใช้ในการหางาน เป็นหลักประกันว่าแต่ละเดือนมีเงินใช้จ่าย ถึงแม้จะไม่มากนักก็ตาม แต่ประโยชน์ที่ควรจะได้รับให้ถูกต้อง นั่นคือจำนวนเงินค่าชดเชยที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน"

2. ตรวจสุขภาพการเงิน

เสกสรรบอกว่าเมื่อว่างงาน แน่นอนว่ารายรับของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่รายจ่ายส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเช็คข้อมูลทางการเงินของตนเองเป็นการด่วนว่า มีสินทรัพย์ หนี้สิน เงินลงทุน ภาระผูกพันอะไรอยู่บ้าง ยังมีแหล่งรายได้ที่ยังเหลืออยู่บ้างไหม และมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ของตนเองและครอบครัวอยู่เท่าไร

สำหรับสินทรัพย์และเงินลงทุน ควรจัดกลุ่มออกเป็นสิ่งที่มีสภาพคล่องและไม่มีสภาพคล่อง เพื่อประเมินถึงความสามารถในการแปรเปลี่ยนเป็นเงินสด ให้สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่ยังคงเหลืออยู่ โดยจะต้องอัพเดทมูลค่าของทรัพย์สินเงินลงทุนให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาต้นทุน

สำหรับค่าใช้จ่ายและการผ่อนชำระหนี้ต้อง ตรวจสอบว่าในแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่ายอะไรที่จำเป็นต้องจ่ายบ้าง และค่าใช้จ่ายอะไรที่สามารถลดได้หากจำเป็น รวมถึงมูลค่าหนี้สินที่คงเหลืออยู่ว่ามีสถานะเท่าใด เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพการเงินของคุณที่เป็นปัจจุบัน

สอดรับกับอุมาพันธุ์ที่มองว่าเมื่อตกงานถือว่าเป็นโอกาสอันดี ที่จะต้องสำรวจตัวเองว่า สุขภาพการเงินของเราเป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่า ว่างงานในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบนี้ จะได้เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมว่า เราสามารถรับมือวิกฤติได้แค่ไหน

การตรวจสุขภาพการเงิน คือ การดูว่า ณ จุดนี้ เรามีความมั่งคั่งเป็นอย่างไร เช็คว่า เราสะสมเงินทอง ของมีค่า มากน้อยแค่ไหน มีเงินสดอยู่เท่าไหร่ มีเงินลงทุนเท่าไหร่ ทรัพย์สินที่ดิน บ้าน รถ เครื่องประดับ หุ้น กองทุน เรามีอะไรบ้าง มูลค่าตลาดอยู่ที่เท่าไหร่ พอดูทรัพย์สินแล้ว ก็ต้องดูภาระว่า มีภาระหนี้สินอะไรบ้าง ตัวไหนเยอะสุดๆ ทรัพย์สินที่มีคุ้มภาระหนี้ที่มีอยู่หรือไม่ ซึ่งนั่นก็คือ ความมั่งคั่งของเรานั่นเอง

"การตรวจสุขภาพยังทำให้รู้ด้วยว่า เรามีสัดส่วนการออม การลงทุน และภาระตัวไหนเยอะสุด มากไป หรือน้อยไป เพราะในบางครั้ง อาจจะมั่งคั่งเยอะ แต่สภาพคล่องน้อย เช่น ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดิน ก็มีปัญหาสุขภาพการเงินได้ เพราะช่วงชีวิตสะดุด ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายยังคงมีอยู่ตลอด ก็อาจพบปัญหาขาดสภาพคล่องได้"

3 รื้อปรับขยับการใช้เงิน

เสกสรรให้ข้อคิดว่า เมื่อตรวจสอบสถานะการเงินเรียบร้อยแล้ว คุณคงพอทราบว่าตัวเองพอมีความมั่นคงทางการเงินเพียงใด รายได้ที่ยังเหลือกับทรัพย์สินที่มีอยู่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายและหนี้สินหรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือสามารถรองรับภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่นาน ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินอย่างเร่งด่วน จะปรับมากหรือน้อยก็ขึ้นกับระดับความจำเป็น สิ่งที่ต้องลดลงก่อนเป็นอันดับแรก

ได้แก่ รายจ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่าใช้จ่ายเพื่อสันทนาการ ท่องเที่ยว ชอปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า ต้องลดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามสถานภาพปัจจุบัน

ต่อมาคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จ่ายให้น้อยลงสำหรับสิ่งจำเป็น เช่น ลดการทานอาหารนอกบ้านหรือมีราคาแพงให้น้อยลง สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรลดหรือเลือกลดเป็นอันดับท้ายๆ คือ ค่าใช้จ่ายสำหรับหนี้สินที่ลดแล้วจะกระทบต่อเครดิตและความน่าเชื่อถือของตัวคุณ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ การค้างชำระหนี้บัตรเครดิตมากกว่าที่กำหนด เป็นต้น

สิ่งที่อุมาพันธุ์แนะนำเพิ่มเติมคือ คนตกงานควรจะใช้นโยบายรัดเข็มขัด ปรับการใช้เงิน สิ่งจำเป็นของคนตกงานคือควรจะจดบัญชีรับจ่าย จะได้รู้ว่า ค่าใช้จ่ายตัวไหนเป็นค่าใช้จ่ายหลัก หรืออาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

"ในช่วงนี้ไม่ต้องเดินทางไปไหนแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านพาหนะก็สามารถที่จะปรับลดลงได้ ค่าใช้จ่ายด้านอาหารการกิน แทนที่จะกินข้าวนอกบ้านให้สิ้นเปลืองและเสียสุขภาพ ก็เป็นโอกาสที่จะแสดงฝีมือ ทำอาหารทานเอง ดีไม่ดี อาจพบพรสวรรค์ของตัวเอง สามารถนำมาเป็นอาชีพเสริมได้ด้วย

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในส่วนของสันทนาการ เสื้อ ผ้า หน้า ผม ก็ควรที่จะปรับลดลง พอห้างเซลล์ ก็ไม่ต้องรีบกระโจนใส่ เพราะถ้าเผลอรูดบัตรไป เดือนหน้าไม่มีเงินเดือนเข้ามาช่วยจ่ายแล้ว หลักๆ คือต้องระวังการใช้เงิน"

4.เคลียร์เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

เสกสรร อธิบายว่า เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ เงินสะสม (ที่สมาชิกจ่ายเข้ากองทุน) เงินสมทบ (ที่นายจ้างจ่ายให้) ผลประโยชน์เงินสะสม และผลประโยชน์เงินสมทบ (สิ่งที่งอกเงยจากการลงทุน)

เงินที่เป็นสิทธิของคุณในฐานะสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแน่นอนคือ เงินสะสมและผลประโยชน์เงินสะสม ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์เงินสมทบ จะได้รับก็ต่อเมื่อคุณปฏิบัติตามเงื่อนไขของกองทุน เช่น มีอายุงานถึงเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อคุณออกจากงานจะมีทางเลือกคือ รับเงินก้อน โดยถือว่าเป็นการลาออกจากระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือไม่รับเงินก้อนนี้ โดยคงเงินไว้ในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อน เพื่อรอโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองใหม่ของบริษัทนายจ้างในอนาคต

ข้อพึงระวังคือ หากคุณลาออกจากกองทุนโดยที่ยังไม่เกษียณอายุ คุณอาจจะเสียผลประโยชน์จากเงินสมทบที่จะได้รับไม่เต็มจำนวน อีกทั้งเงินที่ได้รับจากกองทุนในส่วนของเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสะสมและเงินสมทบจะต้องถูกหักภาษี ตามเงื่อนไขเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย

เรื่องนี้ อุมาพันธุ์ บอกว่าคนที่มีเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสองทางเลือก ซึ่งต้องชั่งน้ำหนักดูว่า ควรเลือกทางเลือกไหน ทางเลือกที่ 1 คงเงินไว้ในกองทุนต่อไป จนกว่าจะได้งานใหม่ ค่อยย้ายกองทุนไปที่กองทุนของที่ทำงานใหม่ หรือทางเลือกที่ 2 เอาเงินออกจากกองทุน เพื่อนำมาใช้จ่าย

ส่วนทางเลือกที่ 1 หรือ 2 ดีกว่ากัน ก็ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับสุขภาพทางการเงินของคุณ และโอกาสที่คาดว่า จะหางานใหม่ได้เมื่อไหร่ เพราะถ้าเลือกทางเลือกที่ 1 ก็ต้องแจ้งกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลว่า คุณมีความประสงค์จะคงเงินไว้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 650 บาท ต่อปี

ทางเลือกนี้ คุณจะได้ออมอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เอาเงินออกจากกองทุน เก็บก้อนนี้ไว้ใช้ในยามเกษียณ

ทางเลือกที่สอง เอาเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลย ซึ่งทางเลือกนี้ ต้องเสียภาษี โดยสามารถแยกยื่นได้ หลักคือ ดูที่อายุงานว่า ถ้าน้อยกว่า 5 ปี จะไม่ได้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเลย

แต่ถ้ามากกว่า 5 ปี รัฐให้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยหักลดหย่อนขั้นที่ 17,000 บาท คูณจำนวนปีตามอายุงาน หักขั้นที่ 2 หักลดหย่อนได้อีก 50% ของเงินก้อนหลังหักลดหย่อนขั้นที่ 1 เหลือเท่าไหร่ ก็ต้องนำเงินก้อนนี้ไปเสียภาษี

5.ถนอมเงินก้อนที่ได้มา

เสกสรร เตือนว่า ถ้าตกงาน เงินก้อนที่ได้มาอย่าเพิ่งรีบใช้ หรือนำไปลดหนี้ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการเงินก้อนนี้ ก็คือ การเอาไปลดหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย

แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การจัดสรรเงินให้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามปกติ เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้ได้ตามกำหนด

โดยต้องคิดออกมาให้ได้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพรวมค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และชำระบัตรเครดิตในแต่ละเดือนเป็นเท่าใด

จากนั้นก็ต้องกันเงินสำรองส่วนนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกประมาณ 6-8 เท่า เพื่อเป็นหลักประกันว่า ยามว่างงานคุณจะยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติไปอีกอย่างน้อย 6-8 เดือน จนกว่าจะได้งานใหม่ และเมื่อกันเงินส่วนนี้แล้วยังมีเงินก้อนเหลือ จึงค่อยพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไรดี

ส่วน อุมาพันธุ์ เสริมว่าบางคนทำงานมานาน ได้รับเงินชดเชยตามอายุงาน เป็นเงินก้อน หรือมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากกองทุนประกันสังคม ก็ต้องบอกว่า อย่าเพิ่งผลีผลามนำเงินก้อนนั้นไปใช้จ่าย ควรเก็บเป็นเงินก้นถุงสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน

ปกติเงินเผื่อฉุกเฉินควรมีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เผื่อในช่วงที่เราตกงาน และอยู่ในช่วงหางานใหม่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องบอกว่า ควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเผื่อไว้อย่างน้อย 6 เดือนถึงหนึ่งปี เลยทีเดียว

ดังนั้น เงินก้อนนี้ควรกันเก็บไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินให้เพียงพอก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย โดยอาจจะเก็บในรูปของเงินฝากธนาคาร หรือกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น

6.มองหางานใหม่

เมื่อว่างงานคนส่วนมากจะเร่งหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด แต่กลายเป็นว่า แม้ได้งานใหม่กลับทำได้ไม่นานก็ลาออกอีก เพราะยังไม่ใช่งานที่ชอบ ไม่เหมาะสมกับตัว หรือทำไปก็ไม่มีความสุข เสกสรรบอกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงน้อยคนนักที่จะได้ทำงานที่ตนเองชอบจริงๆ การจะประเมินว่าคนคนหนึ่งจะทำงานที่หนึ่งได้นานแค่ไหน ขึ้นกับเหตุผลของความพอใจใน 3 เรื่องด้วยกัน คือ เนื้อหางาน รายได้ และ ผู้ร่วมงาน

ความพอใจในเนื้อหางาน หมายถึง ความชื่นชอบภูมิใจในงานที่ทำตำแหน่งที่ได้รับ ชั่วโมงที่ต้องทำงาน และความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ รายได้ หมายถึง จำนวนเงินที่ได้รับ ความถี่หรือความสม่ำเสมอของรายได้ ผู้ร่วมงานหมายถึง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง หรือบุคคลนอกบริษัทที่ต้องติดต่อประสานงานด้วย เป็นต้น หากใครมีความพึงพอใจหรือรับได้ต่อสิ่งเหล่านี้อย่างน้อย 2 ใน 3 อย่าง ก็จะสามารถทำงานนั้นได้อย่างยาวนาน

อุมาพันธุ์ ให้ข้อคิดว่า"ในวิกฤติย่อมมีโอกาส" อย่ามัวรอช้า ควรมองหางานใหม่ในทันทีไม่ต้องรีรอ ช่องทางการสมัครงานมีได้หลากหลายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทต่างๆ หรือ ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทจัดหางาน

ยิ่งในช่วงนี้ มีการออกบูธของบริษัทจัดหางานตามศูนย์ประชุม หรือตามห้าง ก็ควรคอยดูจังหวะติดตาม ข้อมูลข่าวสาร การเปิดรับสมัคร เพราะคุณมีโอกาสได้เข้าเจอะเจอกับพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลโดยตรง หากมีข้อสงสัยของลักษณะงานจะได้สอบถามให้เข้าใจ หลายที่มีการสอบข้อเขียนก่อนการสอบสัมภาษณ์ ช่วงที่ว่างนี้ เดินสายสอบข้อเขียน สอบภาษาให้เรียบร้อย ก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้ใบสมัครและประวัติของเราน่าสนใจ

7.ปัดฝุ่นเรซูเม

"เรซูเมดีมีชัยไปกว่าครึ่ง" นั่นเป็นสิ่งที่อุมาพันธุ์บอก

บางคนไม่ได้อัพเดทเลย ก็ควรนำมาเติม หรืออัพเดทว่า งานล่าสุดเราทำอะไร อยู่ในตำแหน่งไหน มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง ที่ผ่านมาวุฒิการศึกษาเปลี่ยนรึเปล่า ไปร่ำเรียนอะไรเพิ่มมา หรือผ่านคอร์สอบรมพิเศษ ที่ทำให้เรามีทักษะที่น่าสนใจ รูปถ่ายปัจจุบันก็สำคัญ รูปเก่า ทรงผมเก่า เชย ถ่ายมานานมากแล้ว ก็ได้เวลาไปปรับปรุงใหม่ ปรับลุคให้ดูทันสมัย ภูมิฐาน ถ่ายใหม่

ส่วนเสกสรรเห็นว่าเรซูเม เป็นเอกสารชิ้นแรกที่ทำให้ที่ทำงานใหม่จะรู้จักคุณ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ข้อมูลครบ และให้เขารู้จักคุณให้มากที่สุด โดยเฉพาะข้อมูลเพื่อบอกว่าคุณมีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่สมัครมากเพียงใด เพื่อให้ได้รับการพิจารณา

นอกจากประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานที่เป็นข้อเท็จจริงแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่รายละเอียดของประสบการณ์ ความสำเร็จของงานในอดีต โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานใหม่ที่สมัครเข้าทำงาน เพื่อให้เห็นถึงความพร้อม และความสามารถที่จะเข้าทำงานใหม่ได้ทันที

"ทุกวันนี้บริษัทต่างๆ ต้องการคนที่เข้าไปแล้วทำงานได้ทันที ใช้เวลาการเรียนรู้งานให้น้อยที่สุด และสิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ ประวัติการฝึกอบรม หลักสูตรพิเศษต่างๆ โดยเฉพาะหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพการทำงาน การเป็นผู้บริหาร การเจรจาต่อรอง การนำเสนอต่างๆ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยแสดงถึงศักยภาพของคุณได้อีกทาง"

8.ใช้เวลานี้พัฒนาตัวเอง

ในช่วงเวลาที่ตกงาน เสกสรรมองว่าคือช่วงเวลาทองที่หาไม่ได้ หากคุณยังทำงานประจำอยู่ ในระหว่างหางานใหม่ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ควรมีการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะทักษะด้านการสื่อสารในภาษาต่างประเทศ ฟัง พูด อ่าน เขียน และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานทุกอย่างไปแล้ว

นอกจากนั้น ก็เป็นการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านวิชาชีพตามความจำเป็นในสายงานที่ทำอยู่ตาม หรือสนใจเข้าไปทำ เช่น การเข้าอบรมเพื่อให้รู้ถึงกฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน รวมถึงการอบรมหลักสูตรต่างๆ และเข้าสอบใบอนุญาตต่างๆ ที่คิดว่าจำเป็นต่อการทำงานในอนาคต

อุมาพันธุ์ ก็เห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาว่างที่ไม่ควรปล่อยไปให้เปล่าประโยชน์ โอกาสในการหาความรู้เพิ่มเติม ที่มีอยู่ฟรี มีเต็มไปหมด เช่น การเข้าเว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ การจัดเสวนา หรือเข้าอบรมหลักสูตรฝึกอบรมของตลาดหลักทรัพย์ก็น่าสนใจ เติมทักษะใหม่ๆ ให้ตนเอง ทันสมัย หรือเข้าเรียนภาษาให้คล่องมากขึ้นทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาจีนก็ดี

ใครที่ทำงานอยู่ในแวดวงการเงิน ที่ต้องมีใบอนุญาตต่างๆ ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงดีที่มีเวลาอ่านหนังสือ ไปสอบใบอนุญาตผู้ติดต่อผู้ลงทุน เพื่อขายกองทุนรวม ขายหุ้น ขายตราสารหนี้ หรือสอบใบอนุญาตประกันชีวิต เพื่อที่จะเป็นคุณสมบัติเสริมที่ดีในการสมัครงาน หรืออาจเป็นอาชีพใหม่ที่น่าสนใจแทนอาชีพเดิมได้

9.ผันตัวเป็นฟรีแลนซ์&จับงานพาร์ทไทม์

สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนใฝ่ฝัน ก็คือ การอยากทำงานที่มีอิสระ เป็นเจ้านายตนเอง ไม่ต้องคอยเป็นลูกจ้างใคร แต่เสกสรรมองว่าในความเป็นจริงมีมนุษย์เงินเดือนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ “กล้า” ลาออกจากงานประจำมาทำงานอิสระเหล่านี้ ด้วยเหตุผลหลักคือเรื่องความมั่นคงของรายได้ ที่มักไม่เท่ากับการเป็นพนักงานกินเงินเดือน

ดังนั้น ช่วงเวลาว่างงานนี้คือโอกาสอันดี สำหรับการทดลองทำในสิ่งที่ชื่นชอบ อยากทำ และมีรายได้ให้ตนเอง โดยเริ่มจากรับงานพาร์ทไทม์หรือฟรีแลนซ์ที่ตนเองถนัดหรือมีความเชี่ยวชาญก่อน ไม่แน่ว่าคุณอาจพบหนทางสว่างในอาชีพ และไม่ต้องกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนเลยก็เป็นได้

อุมาพันธุ์ บอกว่า สภาพเศรษฐกิจแบบนี้งาน full time อาจจะหายาก แต่ถ้าทำเป็นพาร์ทไทม์ หรือรับเป็นฟรีแลนซ์ ก็เป็นโอกาสที่น่าสน รับงานแล้วกลับมาทำที่บ้าน ก็ลดค่าใช้จ่ายลงได้ งานรับเป็นที่ปรึกษา หรือโครงการต่างๆ ก็เป็นโอกาสในการรับเงินก้อน นอกจากนี้ งานขายตรง ก็เป็นโอกาสที่ไม่เลว บางทีคุณอาจจะเจอพรสวรรค์ของตนเองก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการขายประกันชีวิต ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จในการขาย อาจกลายมาเป็นอาชีพประจำของคุณในที่สุด

10.ถือโอกาสชาร์จแบตให้ตัวเอง

เสกสรร อยากให้คิดว่าช่วงว่างงานนี้คือ ช่วงพักร้อนของชีวิต ที่ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องมีคำสั่ง ไม่ต้องอดทนกับสิ่งที่คุณไม่อยากเจอ ปล่อยใจให้สบายๆ เลือกให้รางวัลชิ้นใหญ่กับชีวิตแบบเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยวในที่ที่อยากไปมานานแต่ไม่มีโอกาสได้ไป การใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเต็มที่ เดินสายพบปะสังสรรค์ ญาติที่ห่างหาย เพื่อนฝูง หรือผู้ร่วมงานเก่าๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต รับฟังความคิดเห็นหรือข้อมูลจากคนอื่น ไม่แน่คุณอาจได้งานใหม่ที่รอคอยมานานจากคนรอบกายเหล่านี้ก็ได้ ใครจะรู้

หลายคนที่ไม่เคยได้หยุดพัก ทำงานหนักมาตลอด อุมาพันธุ์แนะให้ใช้ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่จะหยุดพักผ่อน ผ่อนคลายสมองตามแหล่งท่องเที่ยวที่สงบ

หรือโอกาสในการเดินสายทำบุญ ปฏิบัติธรรมก็ไม่เลว สุขกายและได้สุขใจขึ้นด้วย

"ใครที่เคยเอาแต่นั่งทำงาน จนพุงเป็นห่วงยางเต็มไปหมด ก็เป็นโอกาสดี ในการเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย หรือการไปวิ่งตามสวนลุม ก็ทำให้ได้โอกาส

สูดอากาศตอนเช้าที่สดใส ใช้ช่วงว่างมีเวลาจัดข้าวของให้เข้าที่ จัดระเบียบชีวิตของตนเอง ให้นาฬิกาในร่างกายเราได้หยุดพัก เติมเต็มพลังให้เต็มที่ เวลาไปสัมภาษณ์งานจะได้ไปพร้อมกับความสดใส และความพร้อมที่จะลุยกับงานใหม่ต่อไป"

เห็นมั้ยว่า คนตกงานยังมีอะไรให้จัดการอีกมากมายหลายสิ่ง หวังว่าข้อคิดของเสกสรรและข้อแนะนำของอุมาพันธุ์ จะทำให้คนตกงานและคนที่ส่อเค้าว่าอาจจะตกงาน พอจะมีเข็มทิศให้สำหรับชีวิตที่ตกงาน

Tags : อุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 29

http://www.gotoknow.org/blog/vuttinun2/415118?page=1

ความคิดเห็นที่ 28

ตกงาน เนื่อจากเป็นลมชัก เข้างาน 3เดือนโดนออก ต่อมาสอบถามกระทรวงแรงงาน(เขาโยนไปให้ฟ้องศาล) ต่อมาอีกไม่นานคงต้องตาย เพราะไม่มีเงินซื้อยา

ความคิดเห็นที่ 27

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นประจำ แล้ววันหนึ่งก็ไปเจอโฆษณา
เว็บคลิกรับเปอร์เซ็นค่าโฆษณา มีทั้งที่บอกว่าได้จริง และไม่ได้จริง ดิฉันกับน้องชายของดิฉันเองก็มีคนละความเห็น
เราจึงตัดสินใจสมัครและจะทำดูว่าผลท้ายสุดจะได้จริงหรือไม่ ดิฉันจึงอยากจะชวนเพื่อน ๆที่ชอบเล่นอินเตอร์เน็ตมาลองพิสูจน์ด้วยกัน
หากได้จริง ก็ดีไป หากไม่ได้ก็ไม่ได้เสียอะไร (นอกจากเวลาและความรู้สึก เล็กน้อยถึงปานกลาง เหอ ๆ)
ดิฉันจึงอยากให้เพื่อนช่วยกันสมัครอย่างน้อยก็ได้เงินมาเปล่าๆ ยังไงค่าเนตเราก็เสียอยู่แล้ว

http://gowellup.com/pages/index.php?refid=soradeaw

http://bravevolitation.com/pages/index.php?refid=soradeaw

http://asonewishes.com/pages/index.php?refid=soradeaw

http://prosperousboom.com/pages/index.php?refid=soradeaw

http://graspaftertime.com/pages/index.php?refid=soradeaw

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

"ประชาวิวัฒน์" คืออะไร

สองสามวันมานี้ พวกเราคงจะได้ยินคำว่า ประชาวิวัฒน์ ผ่านหูกันมาบ้างจากสื่อต่างๆ และก็คงมีผู้สงสัยว่า มันคืออะไร ผมขออนุญาตอธิบายให้ฟังพอสังเขปดังนี้นะครับ

แผนปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ คือ กระบวนการตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ที่ผ่านการกลั่นกรองโดยระบบราชการ เพื่อยืนยันว่า เป็นนโยบายที่ "ยั่งยืน" และ "สมเหตุสมผล" ต่างกับ 'ประชานิยม' ที่เป็นนโยบายที่กำหนดโดยนักการเมืองเพื่อเอาใจประชาชน มุ่งเน้นไปที่จุดประสงค์ในการหาเสียง โดยไม่ผ่านขั้นตอนในการที่จะทดสอบความยั่งยืน

รัฐบาลได้สำรวจปัญหาของประชาชนผ่านหลากหลายช่องทาง และได้สรุปในกระบวนการ 'ปฏิรูปประเทศไทย' ว่ามีอยู่ ๕ หมวดเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการคือ
๑. ปัญหาค่าครองชีพ
๒. ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานนอกระบบ
๓. ปัญหาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน
๔. ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น
๕. ปัญหาเรื่องที่ดินทำมาหากิน

ขณะเดียวกัน เราตระหนักว่าด้วยวิธีการบริหารจัดการในระบบปกตินั้น บางครั้งไม่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาที่มีหลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาที่ถ้าจะต้องแก้ไขอย่างจริงจัง ควรที่จะมีการระดมความคิด ข้อมูล และที่สำคัญคือ การร่วมมือข้ามหน่วยงานราชการ ข้ามกระทรวง และข้ามพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล นี่คือที่มาของการ 'เร่งรัฐ' โดยการจัดศูนย์รวมให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง มาทำงานอย่างเข้มข้นอยู่ด้วยกัน - หรือที่ท่านนายกฯเรียกว่า ให้มา 'เข้าค่าย' ฉะนั้น เจ้าหน้าที่เกือบ ๑๐๐ คน จากกว่า ๓๐ หน่วยงาน ก็ได้มาทำงานกันอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการ "ประชาวิวัฒน์" ณ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ช่วงหนึ่ง

งานที่ต้องทำคือ รัฐบาลมีหน้าที่ตั้งโจทย์ จากนั้น ผู้เชี่ยวชาญและผู้รับผิดชอบในแขนงงานต่างๆก็จะช่วยกันคิดหาคำตอบ โดยที่ท่านนายกฯได้ให้คำมั่นไว้ว่า คำตอบจากศูนย์ปฏิบัติการ "ประชาวิวัฒน์" นี้ ท่านจะรับไปเป็นนโยบายของรัฐบาล และของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นี่คือความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก 'ประชานิยม' ซึ่งเป็นนโยบายฟ้าบันดาล ที่ผู้นำไปปฏิบัติไม่เคยมีโอกาสทดสอบและศึกษาถึงความยั่งยืน หรือความเหมาะสม และความแตกต่างอีกประการหนึ่งก็คือ นโยบายที่คลอดออกมาเพื่อตอบโจทย์ประชาชนนี้ แทบจะไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยครับ ผลสุดท้าย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนจะได้ประโยชน์ ชนชั้นกลางจะได้ความถูกต้องในสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการดูแลค่าครองชีพ คนจนจะได้โอกาสในการทำมาหากิน ความเหลื่อมล้ำที่ลดลง และ รายได้ที่เพิ่มขึ้น

ผมได้เห็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมา ก็ขอเรียนตามตรงว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ แม้แต่ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของนักวิชาการ ก็ยังไม่ได้มีการติดต่อขอข้อมูลในเชิงลึกเพื่อจะนำไปศึกษาให้ดีก่อนที่จะแสดงความคิดเห็น แผนปฏิบัติการนี้ เราทำงานกันมาเป็นเดือนๆ มีการศึกษาค้นคว้าร่วมกันอย่างรอบคอบ คงไม่เป็นการยุติธรรมที่จะอ่านหรือฟังข่าวเพียงไม่กี่นาทีแล้วด่วนสรุปอย่างนั้นอย่างนี้

ความท้าทายในขั้นต่อไปคือ การนำทุกเรื่องไปสู่การปฏิบัติ ท่านนายกฯจะประกาศรายละเอียดนโยบาย " ประชาวิวัฒน์" ในวันที่ ๙ มกราคมนี้ พร้อมรายชื่อผู้รับผิดชอบในส่วนการปฏิบัติงาน รวมทั้งตารางในการดำเนินการ

ผมเชื่อว่า "ประชาวิวัฒน์" จะนำมาใช้หาคำตอบที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาให้กับสังคมของเราได้อีกหลายเรื่องครับ โดยเฉพาะภาคเอกชนที่รอจะเข้าร่วมกระบวนการกับรัฐบาล และรอฟังการตอบโจทย์เรื่องแนวทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย
http://www.facebook.com/note.php?note_id=481660729729&id=71254499739

อย่าเที่ยวหาคนรูปงาม

อย่าเที่ยวหาคนรูปงาม..เพราะมีอะไรที่ยังมองไม่เห็นอีกมาก
อย่าปลงใจกับใครเพราะความร่ำรวย..เนื่องจากเป็นสิ่งไม่จีรัง
จงหยุดยั้งกับใครบางคนที่ทำให้คุณแย้มยิ้มได้
เพราะมีแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่จะทำให้วันคืนอันมืดมิดในชีวิตสว่างไสวขึ้นมา
หวังว่าคุณคงโชคดีพอจะพบคนคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของคุณยิ้มได้

การแก้ไขปัญหาประชาวิวัฒน์

มอบ9ประชาวิวัฒน์เป็นของขวัญปีใหม่

วันที่ 9 มกราคม นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายรัฐมนตรี แถลงนโยบายปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ "คิดนอกกฎ บริการนอกกรอบ" เพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชน 9 ข้อ ในรายการเชื่อมั่นกับนายกฯ โดยนายกฯ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน คลอบคลุมหลายๆด้าน ทั้งเรื่องการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ การลดค่าน้ำ ค่าไฟ การเข้าถึงสินเชื่อ และ เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นายกชี้แจงด้วยว่า 9 มาตรการที่ประกาศ ไม่ใช่ทุ่มเงินลดแลกแจกแถม แต่แก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้าง ใช้งบ 2 พันล้าน แต่ได้ประโยชน์ 2 หมื่นล้าน

สำหรับของขวัญชิ้นแรกรัฐบาลจะเปิดทางเลือกให้ผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม จ่ายเงิน 100/150 ต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์เจ็บป่วยเสียชีวิต รวมถึงเบื้ยชราภาพ หรือประชาชน จ่าย 70 บ.รัฐสมทบ 30 บ.หรือ จ่าย 100 บ.รัฐสมทบ 50 บ. กรณีหลังจะประกันกรณีชราภาพด้วย ชิ้นที่2 การเข้าถึงสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษให้กับแท็กซี่ และ หาบเร่แผงลอย นายกฯเชื่อจะเป็นลูกค้าดีของสถาบันการเงิน เพราะมีรายได้ชัดเจน ของขวัญชิ้นที่ 3ขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซค์ รับจ้าง จัดทำบัตร ให้เบอร์เสื้อวินจยย. แจกหมวกนิรภัย,ปรับปรุงวิน การทำบัตรจะนำไปสู่การพัฒนาสวัสดิการ

ของขวัญชิ้นที่ 4 เพิ่มจุดผ่อนปรนให้หาบเร่แผงลอย หวังลดรายจ่ายนอกระบบ และ จะจัดโซนการค้าให้เป็นระบบระเบียบ แต่จะไม่กระทบผู้ใช้ทางเท้า ของขวัญ ชิ้นที่5 นำเงินกองทุนน้ำมัน ตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง แต่จะเลิกอุดหนุนภาคอุตสาหกรรม ของขวัญชิ้นที่ 6 ลดการจัดเก็บค่าไฟ กับผู้ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยแบบถาวร ไม่ใช้เงินภาษี แต่จะปรับการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ใครใช้ไฟฟ้ามากก็จ่ายมาก ของขวัญชิ้นที่ 7 หาทางลดต้นทุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์ และ พ่อพันธ์แม่พันธุ์ ปรับรูปแบบไข่ไก่ขายโดยการชั่งกิโล ของขวัญชิ้นที่8 กรณีราคาไข่ไก่ จะนำร่องซื้อขายเป็นกิโลฯ เพื่อประหยัดค่าคัดแยกได้ถึง 50 สต. โดยเริ่มทดลองในเขตมีนบุรี ของขวัญชิ้นที่ 9 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตั้งเป้าลดให้ได้ 20 % ใน 6 เดือน เพิ่มกล้องวงจรปิด-บุคลากร บูรณาการทำงานสำหรับ ของขวัญ ทั้ง 9 ที่นายกฯประกาศ จะเสนอครม.11 ม.ค. และ จะตั้งคณะทำงานศึกษา เห็นผลตั้งแต่มค.ใช้งบ 2,000 กว่าล้านบาท

เชื่อประชาวิวัฒน์สำคัญต่อประชาชน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการการแถลงนโยบายปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ "คิดนอกกฎ บริการนอกกรอบ" เพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชน 9 ข้อว่า ทุกเรื่องต้องเดินหน้าทันที เพียงแต่บางเรื่องต้องไปปรับแก้กฎระเบียบ หรือบางกรณีอาจต้องไปทำให้กฎหมายรองรับ แต่ทุกเรื่องต้องเดินหน้าได้เลย ถือว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักที่มีความสำคัญต่อประชาชน ซึ่งกระบวนการแบบนี้เราคิดว่า ถ้าไปได้ดี อาจจะมีการหยิบยกเรื่องอื่นๆมาอีก

เมื่อถามว่า ระยะเวลาที่จะทำให้เป็นรูปธรรมชัดเจน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บางเรื่องสามารถทำได้ทันที แต่ช้าที่สุดคือเดือนก.ค. และเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพราะมีการดูอย่างดีก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายอย่างนี้

เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่ที่มีคนบางมองเป็นการปูพรมหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีหน้าที่แก้ปัญหาให้ประชาชน

สำรวจ"ทำไมประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา"

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจสาเหตุสำคัญ ทำไมประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา ในยุครัฐบาลชุดปัจจุบัน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เพชรบุรี สระบุรี นครปฐม ชลบุรี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา เลย ขอนแก่น อุบลราชธานี นราธิวาส สงขา และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,249 ตัวอย่าง โดยดำเนินการในช่วง 1 – 8 มกราคม 2554 ผลการสำรวจพบว่า

ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.7 ระบุมีระบบต่างตอบแทนบุญคุณกันในกลุ่มข้าราชการ โดยร้อยละ 51.8 ระบุว่ามีเหมือนเดิม ร้อยละ 25.9 ระบุว่ามีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 22.3 ระบุว่าลดลง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.7 พบเห็นการทุจริตคอรัปชั่นในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 49.6 พบเห็นเหมือนเดิม ร้อยละ 30.1 พบเห็นมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 20.3 พบเห็นลดน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.7 ระบุมีการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นพรรคพวกของตนเอง โดยร้อยละ 49.0 ระบุมีเหมือนเดิม ร้อยละ 34.7 ระบุมีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 16.3 ระบุลดลง

ที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 74.7 มองว่ามีการครอบครองที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศโดยคนตระกูลใหญ่ๆ เพียงไม่กี่กลุ่ม โดยร้อยละ 43.3 ระบุมีเหมือนเดิม ร้อยละ 31.4 มองว่ามีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 25.3 มองว่า ลดลง แต่ที่น่าเป็นห่วงมาก คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.3 ระบุมีการฉ้อราษฎร์ (เจ้าหน้าที่รัฐโกง รีดไถประชาชน) และบังหลวง (เจ้าหน้าที่รัฐครอบครอง ยักยอกถ่ายเททรัพย์สินของหลวง) โดยร้อยละ 47.4 ระบุมีเหมือนเดิม และร้อยละ 25.9 ระบุมีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 26.7 ระบุลดน้อยลง ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.0 ได้ยินเรื่องการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 45.0 ได้ยินเหมือนเดิม ร้อยละ 31.0 ได้ยินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 24.0 ได้ยินลดน้อยลง

เมื่อถามว่า ยังคงพบเห็นระบบเด็กเส้น ตระกูลดังในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.0 ระบุพบเห็น โดยร้อยละ 43.0 พบเห็นเหมือนเดิม และร้อยละ 41.0 พบเห็นมากขึ้น ในขณะที่ ร้อยละ 16.0 พบเห็นลดลงที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.6 พบการรีดไถประชาชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 42.7 พบเหมือนเดิม ร้อยละ 20.9 พบเห็นมากขึ้น และร้อยละ 36.4 พบเห็นลดน้อยลง เมื่อถามถึงการพบเห็นการข่มขู่ คุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ พบว่า เกินกว่าครึ่งเล็กน้อยหรือร้อยละ 54.2 พบเห็นการข่มขู่ คุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 39.4 พบเห็นเหมือนเดิม ร้อยละ 14.8 พบเห็นมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 45.8 พบเห็นลดน้อยลงที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.0 ระบุชาวบ้านรากหญ้า ยังคงมีความทุกข์ใจเดือดร้อน โดยร้อยละ 38.0 ระบุยังมีความทุกข์เดือดร้อนเหมือนเดิม และร้อยละ 48.0 ระบุเพิ่มมากขึ้น และร้อยละ 14.0 ระบุลดลง

ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อคุณภาพของข้าราชการ ภายหลังมีระบบประเมินการทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ พบว่า ร้อยละ 33.2 ระบุแย่เหมือนเดิม ร้อยละ 17.4 ระบุแย่ลง ในขณะที่ร้อยละ 26.8 ระบุดีเหมือนเดิม และร้อยละ 22.6 ระบุดีขึ้นเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อประโยชน์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.0 ระบุนักการเมืองได้ประโยชน์ ในขณะที่ร้อยละ 32.0 คิดว่าเป็นการแก้ไขรํฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของประชาชน

ดร.นพดล กล่าวว่า ความคิดเห็นและประสบการณ์ของประชาชนที่ค้นพบในผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นสาเหตุสำคัญว่า ทำไมประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา เช่น การเน้นเศรษฐกิจเมืองมากกว่าเศรษฐกิจชุมชน มีการทุจริตคอรัปชั่น มีระบบต่างตอบแทนบุญคุณกัน มีการฉ้อราษฏร์ บังหลวง มีระบบเด็กเส้น ตระกูลดัง เป็นต้น ดังนั้น ทางออกคือ 1. เน้นหนักการพัฒนา “เศรษฐกิจชายขอบ” ของสังคม โดยเร่งกระจายที่ดิน ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ได้มีโอกาสครอบครองทรัพยากรเป็นของตนเองในชุมชนท้องถิ่นท้องที่ต่างๆ โดยไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคนเฉพาะกลุ่ม 2. รัฐบาลน่าจะมีโครงการนำร่องพัฒนาธุรกิจการเกษตรแบบผสมผสานให้ครบวงจรเป็นตัวอย่างกับชุมชนอื่นๆ เช่น ประชาชนมีที่ดินเป็นของตนเอง ทำการเกษตรแบบผสมผสาน มีการร่วมมือกันระหว่างเกษตรกรกับทีมงานบริหารจัดการมืออาชีพด้านการผลิต การบรรจุภัณฑ์ การตลาด และการพัฒนาที่ยั่งยืนลงพื้นที่ทำธุรกิจร่วมกันให้เป็นตัวอย่างชุมชนอื่นๆ ของประเทศ

3. ยกเครื่องระบบ หรืออาจจะยกเลิกระบบการประเมินคุณภาพข้าราชการที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มข้าราชการจำนวนมากพบว่า พวกเขาต้องสูญเสียเวลามากเกินไปกับการทำตามตัวชี้วัดที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและหน่วยงานของพวกเขาโดยส่วนรวม และบางหน่วยงานเวลามีประเมินแต่ละครั้งก็สร้างข้อมูลเท็จ ตกแต่งตัวเลขบิดเบือนไปจากความเป็นจริง 4. ทำลายกำแพงที่ขวางกั้นหน่วยงานราชการต่างๆ ด้วยการปฏิรูประบบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ให้เป็นแบบ ครบวงจรและเชื่อมโยงแบบ online ถึงทุกหน่วยงานราชการเป็นฐานข้อมูลเดียวกัน แบบ One Stop Service เพื่อให้ประชาชนไปเพียงที่เดียว หน่วยงานต่างๆ ก็จะทราบทั่วกันในการหาแนวทางแก้ไขความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของตำรวจ เชื่อมโยงกับกระทรวงมหาดไทย และทำเนียบรัฐบาล เพราะทุกหน่วยงานมีโทรศัพท์สายด่วน เมื่อชาวบ้านเกิดปัญหาจะร้องเรียน ก็จะไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก เรื่องเงียบหายไป หรือมีการโยนความเดือดร้อนของประชาชนกันไปมาให้พ้นตัว นอกจากนี้ น่าจะให้ข้าราชการที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เป็นกลุ่มคนที่เก่งและดี มีค่าตอบแทนให้สูงเป็นพิเศษ แต่ถ้าโยกย้ายกลุ่มข้าราชการที่ถูกลงโทษลงทัณฑ์หรือไม่รู้จะโยกย้ายไปไหนให้มาอยู่ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ก็จะเกิดความขุ่นข้องหมองใจในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐว่า คนรับเรื่องราวร้องทุกข์ก็กำลังมีทุกข์จะไปช่วยปลดทุกข์ชาวบ้านได้อย่างไร

5. เร่งทำให้การแก้ปัญหาทุจริต คอรัปชั่นมีประสิทธิภาพโดยทำให้กลไกของรัฐในเวลานี้มีความสมบูรณ์เช่น สำนักงาน ปปท. ที่เน้นการแก้ปัญหาการทุจริตในภาครัฐของกลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อย เนื่องจากสำนักงาน ปปท. ยังขาดองค์ประกอบคณะกรรมการที่สมบูรณ์เพราะติดปัญหาการพิจารณาคณะบุคคลของฝ่ายการเมืองและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น การทำงานแต่ละครั้งต้องอาศัยการพึ่งพาหน่วยงานอื่นๆ ขาดความคล่องตัว ส่งผลให้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นยังคงมีเหมือนเดิมและเพิ่มมากขึ้น

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 50.7 เป็นหญิง ร้อยละ 49.3 เป็นชาย ตัวอย่างร้อยละ 4.7 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 15.3 อายุระหว่าง 20–29 ปี ร้อยละ 17.8 อายุระหว่าง 30–39 ปี ร้อยละ 20.5 อายุระหว่าง 40–49 ปี และร้อยละ 41.8 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 73.4 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี รองลงมาคือร้อยละ 22.0 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 4.6 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 36.3 ระบุอาชีพเกษตรกร/ประมง/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 16.9 ระบุอาชีพค้าขายรายย่อย/อิสระ ร้อยละ 11.2 ระบุอาชีพลูกจ้าง/พนักงานบริษัท ร้อยละ 14.5 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 10.5 ระบุอาชีพพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 8.5 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 2.1 ระบุว่างงาน/ไม่ประกอบอาชีพ

นโยบายการขายไข่ไก่ของรัฐบาล ราคา กิโลกรัมละ 48-49 บาท

นโยบายการขายไข่ไก่ของรัฐบาล ราคา
กิโลกรัมละ 48-49 บาท

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้อสอบวัดสมรรถนะผู้บริหารฯ

Question Excerpt From ข้อสอบวัดสมรรถนะผู้บริหารฯ
Q.1) ข้อใดเกี่ยวข้องกับการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์น้อยที่สุด
A.
KPI
B.
CSF
C.
INPUT
D.
OUTPUT
Q.2)
ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จัดทำขึ้นตามแนวคิดการบริหารเรื่องใด
A.
การบริหารเชิงระบบ
B.
การบริหารเชิงคุณภาพ
C.
การบริหารเชิงมาตรฐาน
D.
การบริหารเชิงคุณภาพและมาตรฐาน
Q.3)
DSS (Decision Support System) : ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ จะเกี่ยวข้องกับบุคลากรระดับใด
A.
บุคลากรระดับวางแผนยุทธศาสตร์
B.
บุคลากรระดับปฏิบัติการและวางแผนปฏิบัติการ
C.
บุคลากรระดับวางแผนปฏิบัติการและวางแผนการบริหาร
D.
บุคลากรระดับวางแผนและการบริหารวางแผนยุทธศาสตร์
Q.4) หากมีชาวต่างประเทศกล่าวคำว่า How do you do? ท่านจะตอบกลับไปเช่นไร
A.
I am a principle.
B.
I am an adminstrator.
C.
How do you do?
D.
I speak English well.
Q.5) หากท่านพัฒนาโรงเรียนของท่านจนได้รับรางวัลโรงเรียนต้นแบบของการจัดการเรียนการสอนในระดับสพท. ท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
A.
ทำ Best Practices
B.
ฝึกอบรมครูในโรงเรียน
C.
วางแผนพัฒนาการเรียนการสอน
D.
จัดเวทีสัมมนาทางวิชาการ เชิญครูโรงเรียนอื่นเข้าร่วม
Q.6) หัวใจสำคัญที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นเครื่องกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวใน“การพัฒนาองค์กร” (Organization Development )
A.
การวินิจฉัยองค์กร (Organization Diagnosis)
B.
การกำหนดกลยุทธ์และวางแผนพัฒนาองค์กร ( Establish OD Strategy and Implementation Plan )
C.
การนำกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรไปประยุกต์ (OD Intervention)หรือการแทรกแซงการพัฒนาองค์กร
D.
การประเมินการพัฒนาองค์กร (OD Evaluation)
Q.7) ผู้อำนวยการสถานศึกษาดำเนินการการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุฯ พ.ศ.2535 ได้ในวงเงินเท่าใด
A.
ไม่เกิน 1 ล้านบาท
B.
ไม่เกิน 5 ล้านบาท
C.
ไม่เกิน 10 ล้านบาท
D.
ไม่เกิน 50 ล้านบาท
Q.8) หากโรงเรียนของท่านมีนักเรียน 27 คน ครู 6 คน ถ้าท่านเป็นผู้บริหารสถานศึกษาท่านคิดว่าจะดำเนินการเช่นไรกับโรงเรียนของท่าน
A.
จัดการเรียนการสอนสอนแบบคละชั้น
B.
ต้องบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน โดยการรวมหรือเลิก
C.
จัดครู 1 คน สอนอนุบาล1-2 จัดครู 1 คน สอนป.1-.2 และจัดครูที่เหลือประจำชั้น ป.3-6
D.
จัดการเรียนการสอนให้ครูปฏิบัติการสอนตามความเหมาะสม อาจมีครูประจำชั้นที่สอนควบชั้นและครูพิเศษ
Q.9)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องนำมาใช้ในทุกระดับชั้นตั้งแต่ระดับชั้น ป.1-ม.6.ในปีใด
A.
พ.ศ.2553
B.
พ.ศ.2554
C.
พ.ศ.2555
D.
พ.ศ.2556
Q.10) ในกระบวนการ PDCA ข้อมูลสารสนเทศจะมีประโยชน์ในส่วนใดมากที่สุด
A.
Plan
B.
Do
C.
Check
D.
Act
Q.11)
ในการบริหารสถานศึกษา ต้องเสริมสร้างให้ใครมีวินัยเชิงบวก
A.
นักเรียนประถมศึกษา
B.
นักเรียนมัธยมศึกษา
C.
นักเรียนทุกคนในสถานศึกษา
D.
บุคลากรในสถานศึกษา
Q.12) โรงเรียนประถมศึกษาที่อยู่ในจังหวัดของท่านได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน หากท่านต้องการส่งโรงเรียนเข้ารับการประเมินโรงเรียนรางวัลพระราชทานเช่นกัน ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของท่าน วีธีการใดที่ดีที่สุด
A.
พาคณะครูไปศึกษางาน
B.
เชิญวิทยากรจากโรงเรียนนั้นมาอบรมที่โรงเรียน
C.
ส่งตัวแทนครูเข้าไปเก็บข้อมูลต่างๆและนำข้อมูลมานำเสนอผู้บริหาร
D.
ศึกษาหลักเกณฑ์ของโรงเรียนที่เข้ารับการประเมินโรงเรียนรางวัลพระราชทาน
Q.13) การนำความรู้ต่างๆ ที่มีประโยชน์ในสถานศึกษา และนำไปใช้ วิธีการใดถือว่าดีที่สุด
A.
นำความรู้มาจัดหมวดหมู่ ปรับปรุงให้ทันสมัย นำองค์ความรู้สำคัญๆไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
B.
นำความรู้มาปรับปรุงให้ทันสมัย จัดหมวดหมู่ นำองค์ความรู้สำคัญๆไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
C.
นำความรู้มาวิเคราะห์ จัดหมวดหมู่ ปรับปรุงให้ทันสมัย นำองค์ความรู้สำคัญๆไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
D.
นำความรู้มาสังเคราะห์ จัดหมวดหมู่ ปรับปรุงให้ทันสมัย นำองค์ความรู้สำคัญๆไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Q.14) ผู้บริหารท่านใดมีสมรรถนะทางด้านการสื่อสารและจูงใจโดดเด่นที่สุด
A.
ผู้บริหารที่สืบค้นข้อมูลเองได้ นำเสนอข้อมูลเองได้
B.
มอบหมายงานให้ครูสืบค้นข้อมูลเองได้ นำเสนอข้อมูลเองได้
C.
จัดอบรมครูจนครูสามารถสืบค้นข้อมูลเองได้ นำเสนอข้อมูลเองได้
D.
ผู้บริหารที่สามารถอาศัยคำแนะนำของครูในการสืบค้นข้อมูลเองและนำเสนอข้อมูล

Q.15) ผู้บริหารที่มีความสามารถในการให้คำปรึกษากับคนอื่นได้ดีที่สุด ต้องเป็นผู้บริหารในลักษณะใด
A.
เป็นที่พึ่งของครูในการแก้ปัญหา
B.
แก้ปัญหาของครูได้เป็นส่วนใหญ่
C.
ให้คำแนะนำที่ดีในการแก้ปัญหา
D.
เสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาได้หลากหลาย
Q.16) โรงเรียนนกน้อย มีความพร้อมของข้อมูล สารสนเทศ ผู้รับผิดชอบ การวางแผน การดำเนินงาน การนิเทศติดตาม ประเมินผลการพัฒนา ปรับเปลี่ยนกระบวนการเป็นระยะเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สิ่งที่น่าจะต้องทำต่อไป คือข้อใด
A.
สร้างเครือข่าย
B.
ทำ Best Practice
C.
สร้างจิตวิญญาณในการทำงาน
D.
ดำเนินการจัดการความรู้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
Q.17) ในการบริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มุมมองของผู้บริหารที่มองครูควรเป็นลักษณะใด
A.
ครูคือคนดีและเก่ง
B.
ครูคือคนไม่ดีแต่เก่ง
C.
ครูคือคนดีและไม่เก่ง
D.
ครูคือคนไม่ดีและไม่เก่ง
Q.18) ข้อใดเป็นระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
A.
การพัฒนาคุณภาพ การจัดระบบคุณภาพ การติดตามตรวจสอบคุณภาพ
B.
การพัฒนาคุณภาพ การจัดระบบคุณภาพ การประเมินและรับรองคุณภาพ
C.
การพัฒนาคุณภาพ การติดตามตรวจสอบคุณภาพ การประเมินและรับรองคุณภาพ
D.
การจัดระบบคุณภาพ การติดตามตรวจสอบคุณภาพ การประเมินและรับรองคุณภาพ
Q.19)
“ การเปรียบเทียบความสนใจทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระหว่างการเรียนจากวิดีทัศน์กับการเรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป ” ตัวแปรต้น(ตัวแปรอิสระ) และตัวแปรตามคือข้อใด
A.
ตัวแปรต้นคือรูปแบบการเรียน ส่วนตัวแปรตามคือความสนใจทางการเรียน
B.
ตัวแปรต้นคือความสนใจทางการเรียน ส่วนตัวแปรตามคือรูปแบบการเรียนงการเรียน
C.
ไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน
D.
ถูกทั้ง ก และ ข
Q.20) หากเจ้าหน้าที่พัสดุที่เป็นครูผู้ช่วยได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการซื้อจัดจ้างไม่เป็นเหตุให้ทางราชการเสียหาย เมือดำเนินการวินัยจนครบตามกระบวนการแล้ว โทษทางวินัยสูงสุดที่จะได้รับคือข้อใด
A.
ภาคฑัณฑ์
B.
ตัดเงินเดือน
C.
ลดขั้นเงินเดือน
D.
ปลดออก
Q.21)
EGP คือ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ อยากทราบว่าย่อมาจากคำว่าอะไร
A.
E-Government Proccess
B.
E-Government Program
C.
E-Government Payment
D.
E-Government Procurement
Q.22)
โรงเรียนนกน้อยโบยบิน ได้กำหนดวิสัยทัศน์ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ข้อใดที่ท่านคิดว่าน่าจะเป็นปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จของโรงเรียนแห่งนี้
A.
นักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน
B.
นักเรียนทุกคนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่สถานศึกษากำหนด
C.
ร้อยละของนักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่สถานศึกษากำหนด
D.
การกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกับหลักสูตรแกนกลางฯ
Q.23) ข้อใดคือวัตถุประสงค์ของโครงการอาหารเสริม (นม)
A.
ส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพอนามัยของเด็กนักเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษา
B.
ส่งเสรืมให้เด็กนักเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษาได้รับสารอาหารที่เหมาะสมตามวัย
C.
ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษาได้รับอาหารเสริมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
D.
ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษาได้รับสารอาหารที่เหมาะสมต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโต
Q.24)
หลักธรรมอันเป็นของคนดี (ผู้ประพฤติชอบ) คือข้อใด
A.
อิทธิบาท 4
B.
พรหมวิหาร 4
C.
สังคหวัตถุ 4
D.
สัปปุริสธรรม 7
Q.25)
ผู้บริหารสถานศึกษามีอำนาจในการอนุญาตการลาของข้าราชกาครูจำนวนกี่วัน
A.
ผอ.และรองผอ.สามารถอนุญาตให้ครูลากิจได้ 30 วัน และลาป่วย 60 วัน
B.
ผอ.และรองผอ.สามารถอนุญาตให้ครูลากิจได้ 45 วัน และลาป่วย 60 วัน

C.
ผอ.สามารถอนุญาตให้ครูลากิจได้ 30 วัน และลาป่วย 60 วัน ส่วนรองผอ.ไม่มีอำนาจยกเว้นรักษาราชการแทนผอ.
D.
ผอ.สามารถอนุญาตให้ครูลากิจได้ 45 วัน และลาป่วย 60 วัน ส่วนรองผอ.ไม่มีอำนาจยกเว้นรักษาราชการแทนผอ.

เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครู

เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554

เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,เก็งข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 แนวข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปี2554 ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ,ข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบบรรจุครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,สอบครูผู้ช่วย,แนวข้อสอบครูผู้ช่วย,ครูผู้ช่วย,ข้อสอบบรรจุครู,ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ,ข้อสอบเยียวยา,